โหราศาสตร์สุริยาตร คัมภีร์สารัมภ์

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

โหราศาสตร์ กับ สถานการณ์ปัจจุบัน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ปฐมภาค 1

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

โหราศาสตร์ กับ มนุษย์


"โหราศาสตร์" มาจากภาษาบาลี คือ คำว่า "โหระ" แปลว่า เวลาที่ดวงดาวโคจรไปในสุริยจักวาล กับ "ศาสตร์ แปลว่า "ความรู้" สรุปรวมความได้ว่า โหราศาสตร์ หมายถึง ความรู้ว่าด้วยปฏิกริยาการโคจรของดวงดาว ที่ส่งผลต่อชีวิตมนุษย์ สรรพสัตว์ และ สิ่งแวดล้อมของโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่

ในยุคโบราณแตกต่างไปจากปัจจุบันในการอธิบายว่า เหตุใดดวงดาวหรือนิมิตสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรวมทั้งการเสี่ยงทาย จึงสามารถเชื่อมโยงเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของมนุษย์ได้ มีนักวิชาการสาขาต่าง ๆ อธิบายไว้ตามมุมมองและแนวทางของศาสตร์ที่ตนใช้ เช่น นักฟิสิกส์ นักจิตวิทยา เป็นต้น ในยุคบรรพกาล ใช้ทฤษฎีโหราศาสตร์โบราณที่ว่าดวงดาวบนท้องฟ้าคือเทพเจ้าทั้งหลายที่มีอำนาจดลบันดาลให้มนุษย์เป็นไป อันเป็นการสื่อความหมายของพลังงาน และแรงดึงดูดระหว่างดาว ที่จะสามารถอธิบายให้คนในยุคนั้นได้เข้าใจ แต่ในข้อมูลต่อไปนี้ เนื่องจากต่างยุคสมัย จึงขอใช้การอธิบายรายละเอียด ด้วยวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น ๒ ทฤษฎีหลักดังนี้


:: ว่าด้วย สนามแรงดึงดูด (Garvuty) ระหว่างดวงดาว ทฤษฎีนี้เป็นแนวการอธิบายที่ใช้กันมากที่สุด และใช้กันมายาวนาน โดยเชื่อว่าดวงดาวมีแรงส่งทำให้มีผลเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตบนโลก ในทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่าดวงดาวทั้งหลายมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่งออกมาและจะเปลี่ยนแปลงไปตามเคลื่อนที่ของวัตถุบนฟากฟ้า ระบบประสาทของมนุษย์จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้านั้น ถึงแม้ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้กันอย่างจริงจังจนมีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ก็มีผลการศึกษาที่น่าสนใจของกลิน (Glynn) ซึ่งเสนอแผนภาพแสดงผลกระทบของดวงดาวต่อชีวิตมนุษย์ [1] ในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของเขา ดังแสดงในรูปสำหรับการตอบสนองของเด็กแรกเกิดต่อตำแหน่งดวงดาวในแผนภาพ 


ดร.ยูเกน โจนัส (Dr.Eugen Jonas) จิตแพทย์ชาวสโลวาเกีย ค้นพบว่า ขณะทารกเกิดเป็นช่วงที่วงรอบเมแทบอลิซึมของเขาถึงจุดสูงสุดและเด็กจะเป็นผู้ที่กำหนดการเกิดของตัวเอง โดยหลั่งฮอร์โมนแอดรินาลีนเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ การทดลองของดร.โจนัสพบว่าจุดสูงสุดของวงรอบนี้จะเกิดขึ้นสม่ำเสมอ สอดคล้องกับมุมระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ในดวงกำเนิดของแต่ละบุคคล ปรากฏการณ์นี้ทำให้เชื่อได้ว่าทารกมีบุคลิกภาพที่แฝงเร้นมาตั้งแต่เกิด [2]



ศาสตราจารย์จอร์จส์ ลัคฮอฟสกี (Georges Lakhovsky) นักชีววิทยาและฟิสิกส์ชาวรัสเซียได้ศึกษาเรื่องนี้เช่นกัน ลัคฮอฟสกีได้แสดงไว้ว่า รังสีที่แผ่มาจากอวกาศมาสู่โลกเกิดจากดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ต่าง ๆ รังสีนี้มีผลต่อโครโมโซมของเซลล์ซึ่งเป็นตัวรับสัญญาณไฟฟ้าจักรวาล โดยนำมาแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าอันเป็นแรงลึกลับเรียกว่า ชีวิต และในลักษณะเดียวกันลัคฮอฟสกีก็คิดว่า เซลล์สมองทำหน้าที่เหมือนเสาอากาศในการรับสัญญาณที่แผ่มาจากดวงดาวเหมือนเสาวิทยุ [3]




ศาสตราจารย์จอร์จส์ ลัคฮอฟสกี (Georges Lakhovsky) นักชีววิทยาและฟิสิกส์ชาวรัสเซียได้ศึกษาเรื่องนี้เช่นกัน ลัคฮอฟสกีได้แสดงไว้ว่า รังสีที่แผ่มาจากอวกาศมาสู่โลกเกิดจากดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ต่าง ๆ รังสีนี้มีผลต่อโครโมโซมของเซลล์ซึ่งเป็นตัวรับสัญญาณไฟฟ้าจักรวาล โดยนำมาแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าอันเป็นแรงลึกลับเรียกว่า ชีวิต และในลักษณะเดียวกันลัคฮอฟสกีก็คิดว่า เซลล์สมองทำหน้าที่เหมือนเสาอากาศในการรับสัญญาณที่แผ่มาจากดวงดาวเหมือนเสาวิทยุ [4]



เรื่องนี้อาจจะอธิบายด้วยทฤษฎีควอนตัมได้ กล่าวคือ ตามหลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน อธิบายว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นเพียงกลุ่มของอนุภาคหรือคลื่นมากมาย ต่อเชื่อมเรียงกันไป เสมือนเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั่วทั้งจักรวาล ในสภาพของสิ่งที่เป็นอนุภาคหรือคลื่นที่เรียกว่าควอนตัมนี้จะมีปฏิสัมพันธ์กันได้เสมอ การเปลี่ยนแปลงสถานะของอนุภาคหนึ่ง จะมีผลกระทบต่อสถานะของอีกอนุภาคหนึ่งได้ ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันเพียงใด [5]




 :: ว่าด้วย ทฤษฎีองค์รวมแนวคิดแบบองค์รวม (holistic) อธิบายว่าทุกสิ่งในจักรวาลรวมกันเป็นระบบเดียว ภายในระบบใหญ่ มีระบบย่อยที่มีโครงสร้าง รูปแบบ และความเป็นไปสอดคล้องกับระบบใหญ่ ดังจะเห็นได้จากโครงสร้างของจักรวาลกับโครงสร้างของอะตอมมีลักษณะที่คล้ายกัน อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติแบบเดียวกัน ทุกส่วนของจักรวาลมีความสัมพันธ์สอดคล้องกันหมด นักจิตวิทยาคนสำคัญของโลกคือคาร์ล กุสตาฟ จุง (Carl Gustav Jung) เรียกความสอดคล้องต้องกันนี้ว่า ซิงโครนิซิตี (synchronicity) 


โดยจุงได้อิทธิพลความคิดมาจากคัมภีร์อี้จิง ของจีนโบราณ เขาพบว่าเหตุการณ์บังเอิญหลายครั้งเกิดขึ้นอย่างมีความหมายสอดคล้องกันโดยไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน บางครั้งอี้จิงสามารถบอกถึงรูปแบบของความหมายที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ปัจจุบันไปสู่เหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกัน ปรากฏการณ์นี้อาจจะเรียกว่า การเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างมีความหมาย (meaningful coincidence) หรือหลักการเชื่อมโยงที่ไม่สัมพันธ์เชิงเหตุ (acausal connecting principle) [6] 


ตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับจุงเองระหว่างการบำบัด คนไข้ของเขาได้ฝันถึงเครื่องประดับที่เป็นแมลงปีกแข็งทองคำและกำลังสนทนากับจุงในเรื่องนี้ ทันใดนั้นมีเสียงเกิดขึ้นที่กระจกหน้าต่าง ปรากฏเป็นแมลงปีกแข็งตัวหนึ่งกำลังพยายามจะเข้ามาในห้อง จุงอธิบายเหตุการณ์นี้ว่าภาพของแม่แบบ (archetype) ในความฝันอาจจะเกิดขึ้นสอดคล้องกับเหตุการณ์ภายนอก แม่แบบไม่ได้อยู่ในโลกของจิตเท่านั้นแต่อาจรุกล้ำข้ามเขตมาปรากฏในโลกภายนอกได้ จุงใช้คำว่าซิงโครนิซิตีเมื่อภาพในจิตกับเหตุการณ์ภายนอกเกิดขึ้นพร้อมกัน และเหตุการณ์นี้จะเกิดบ่อยเมื่อจิตสำนึกมีกำลังอ่อน และจิตใต้สำนึกมีกำลังกว่า [7]


  - วิชาที่ว่าด้วยการทำนายทายทั(divination) สามารถแบ่งประเภทตามลักษณะการทำนายได้เป็น ๔ ประเภทหลัก ดังนี้ 


๑) การทำนายด้วยลางบอกเหตุ (omen) ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น การปรากฏขึ้นที่ผิดปกติของสัตว์ การเคลื่อนที่ของนก และ แมลง ปรากฏการณ์เหล่านี้ส่อให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา ตัวอย่างเช่น การอพยพของกบจำนวนมากเกิดขึ้นอย่างผิดปกติไม่กี่วันก่อนการเกิดแผ่นดินไหว ๘ ริกเตอร์ในประเทศจีนเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ [8] เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดกับธรรมชาติโดยส่วนรวม ไม่เกิดเฉพาะเจาะจงกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ประเด็นนี้อยู่นอกเหนือโหราศาสตร์๒) การทำนายโดยอาศัยอำนาจจิตหรืออ้างอำนาจเทพเจ้า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ อนาคตังสญาณ การใช้อำนาจจิต หรือการเข้าเจ้าทรงผีเพื่อการทำนายทายทัก เรื่องการใช้อำนาจจิตในการทำนายนี้ผู้วิจัยขอแยกออกไม่นำมารวมกับโหราศาสตร์ ส่วนการทำนายด้วยคนทรงนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในกรีกมีการทำนายที่อ้างอำนาจเทพเจ้าเรียกว่า ออราเคิล (oracle) 


ที่วิหารเดลไฟ (Delphi) มีนักบวชสตรีที่เรียกว่า ไพเธีย (Pythia) หรือ ไพธอเนส (Pythoness) อยู่อาศัยกับงูอันเป็นสัญลักษณ์ของการทำนายและปัญญา เมื่อมีผู้มารับการทำนายเธอจะทำตัวเองให้อยู่ในภวังค์ บางครั้งมีการดื่มเลือด สูดควัน หรือเคี้ยวใบไม้บางอย่าง จากนั้นก็จะออกคำทำนายเป็นภาษาที่คลุมเครือ โดยจะมีนักบวชแปลความเป็นร้อยกรองให้ผู้มาถามปัญหาอีกทีหนึ่ง [9]๓) การทำนายด้วยสัญลักษณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับบุคคล คือการตีความจากสัญลักษณ์ที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับบุคคลนั้น ได้แก่ ดวงชะตากำเนิด (ตำแหน่งดวงดาวต่าง ๆ ในขณะบุคคลถือกำเนิดจากครรภ์มารดา) ลักษณะหน้าตา ร่างกาย ลายมือ ลายเท้า ความฝัน ลักษณะการจัดที่อยู่อาศัย รวมไปถึงลายเซ็น เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถสะท้อนลักษณะบางประการของบุคคลออกมา คำทำนายที่ใช้กันเกิดขึ้นจากการศึกษาและเก็บสถิติมาเป็นระยะเวลานาน 


การทำนายด้วยตำแหน่งดวงดาวจะมีคำอธิบายในหัวข้อต่อไป ในส่วนของการทำนายด้วยความฝันมีปรากฏชัดในพระไตรปิฎก จึงขออธิบายเกี่ยวกับเรื่องความฝันโดยสรุปดังนี้ความฝัน คือ ภาพ ความคิดและความรู้สึกที่ปรากฏแก่บุคคลในขณะหลับ โดยเฉพาะการหลับในระยะที่ดวงตามีการเคลื่อนไหวอย่างเร็ว (rapid eye movement, REM) หรือในสภาวะที่ยังไม่หลับสนิท นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำความเข้าใจในเนื้อหาและจุดประสงค์ของความฝันได้อย่างชัดเจน [10] 

ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าความฝันเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ เป็นสาส์นจากพระผู้เป็นเจ้า และนำมาใช้ทำนายทายทักได้ ชาวอิยิปต์โบราณได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันและการตีความไว้ในกระดาษปาปิรัสตั้งแต่ ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล [11]ในศตวรรษที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์และผู้มีการศึกษามองความฝันว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไร้ความหมาย การแปลความฝันเป็นเรื่องของการถือโชคลาง แต่นักจิตวิทยาอย่างซิกมันด์ ฟรอยด์และคาร์ล จุงกลับให้ความสำคัญกับความฝัน อิริค ฟรอมม์นักจิตวิทยาได้อธิบายธรรมชาติของความฝันไว้ว่าความฝันเป็นการแสดงออกที่มีความหมายและมีนัยสำคัญของกิจกรรมทางจิตทั้งหลายภายใต้สภาวะของการนอนหลับ[12]ฟรอยด์เชื่อว่าความฝันเป็นการแสดงออกของจิตไร้สำนึกทางหนึ่ง เป็นจินตนาการของการทำให้ความปรารถนาบรรลุผลที่แสดงออกมาในรูปแบบของสัญลักษณ์ 


ตัวอย่างของการตีความสัญลักษณ์ของฟรอยด์ เช่น พ่อแม่จะแสดงออกด้วยภาพของผู้มีอำนาจ ได้แก่ พระราชา พระราชินีเป็นต้น เด็ก ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ จะแสดงออกด้วยภาพของสัตว์เล็ก อวัยวะเพศชายจะแสดงออกด้วยภาพของวัตถุที่มีลักษณะเป็นแท่ง ได้แก่ ท่อนไม้ เสา ต้นไม้เป็นต้น หรือวัตถุที่ใช้แทงใช้ยิง ได้แก่ มีด ปืนเป็นต้น อวัยวะเพศหญิงจะแสดงออกด้วยภาพของวัตถุที่มีช่องว่างไว้ใส่ของ ได้แก่ กระป๋อง โถ ขวด กล่อง เรือ หรือห้องเป็นต้น [13]จุงได้ขยายทฤษฎีเกี่ยวกับความฝันออกไปอีก โดยเชื่อว่านอกจากจะเกิดจากจิตไร้สำนึกของปัจเจกชนแล้วยังมีส่วนของจิตสำนึกร่วม (collective unconscious) ด้วย คือมีความหมายในเชิงสัญชาตญาณและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ [14] เป็นภาพของแม่แบบ (archetype) ที่สะสมมาเป็นเวลายาวนาน และด้วยทฤษฎีของจุงนี้เอง จึงเชื่อว่าความฝันสามารถนำมาทำนายเหตุการณ์ได้๔) 


การทำนายด้วยการเสี่ยงทาย เป็นการทำนายที่ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน การเสี่ยงทายมีปรากฏมาตั้งแต่โบราณ ในอินเดียโบราณมีการทำนายชีวิตแต่งงานของเจ้าสาวโดยให้สตรีเสี่ยงทายเลือกสิ่งหนึ่งจากของที่ปกปิดไว้ ๕ อย่าง มีเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ ดินจากแท่นพิธีกรรม ดินจากแปลงเกษตร มูลวัว และดินจากที่เผาศพ คำทำนายของการเลือกเป็นไปตามสิ่งที่เลือกได้ คือ ถ้าเลือกเมล็ดพันธุ์ก็จะเจริญรุ่งเรืองในพืชชนิดนั้น ถ้าเลือกดินจากแท่นพิธีก็จะเจริญในทางศาสนา ถ้าเลือกดินจากแปลงเกษตรก็จะเจริญในทางเกษตรกรรม ถ้าเลือกได้มูลวัวจะเจริญในทางปศุสัตว์ และถ้าเลือกได้ดินจากที่เผาศพหมายถึงไม่เป็นมงคล [15] ในราชพิธีพืชมงคลที่ไทยรับอิทธิพลพราหมณ์มาก็มีการเสี่ยงทายเช่นกัน คือดูจากของที่พระโคกิน และการเลือกผ้านุ่ง ซึ่งเป็นการทำนายความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์และน้ำที่มีใช้ในการเกษตร

 
ส่วนวัฒนธรรมจีนมี คัมภีร์อี้จิง (i ching) เป็นการเสี่ยงทายแบบหนึ่ง เป็นรากฐานสำคัญของปรัชญาจีนโบราณ อี้จิงใช้รูป ๖๔ รูป ซึ่งแต่ละรูปประกอบด้วยเส้น ๖ เส้น เป็นเส้นทึบ (หยาง หรือ ชาย) และเส้นขาด (หยิน หรือ หญิง) รวมกัน การเสี่ยงทายโดยใช้เหรียญหรือไม้เซียมซี เพื่อให้ได้รูปใดรูปหนึ่งใน ๖๔ รูปนี้ คำทำนายของอี้จิงจะสะท้อนถึงสภาวะของจิตใต้สำนึกและเหตุการณ์ภายนอก [16]


การเสี่ยงทายที่นิยมกันในปัจจุบันคือไพ่ยิปซีหรือไพ่ทาโรท์ (tarot) ไพ่ชุดนี้ประดิษฐ์ขึ้นที่ตอนเหนือของอิตาลีในต้นคริสตศตวรรษที่ ๑๕ แต่ก็มีผู้กล่าวว่าต้นกำเนิดดั้งเดิมคือกรีกโบราณ และถูกนำเข้ามาในยุโรปโดยชาวยิปซี ไพ่ชุดหลัก ๒๒ ใบเป็นภาพที่มีความหมายสอดคล้องกับอักษรภาษาฮิบบรูในคาบาลาห์ (kabalah) อักษรฮิบบรูแต่ละตัวสัมพันธ์กับดาวเคราะห์ จักรราศี และ ธาตุ [16] คับบาลาห์เป็นภาษาฮิบบรู แปลว่า สิ่งที่ได้รับมา เป็นคำสอนลึกลับของศาสนายูดายที่ถ่ายทอดกันมาแบบมุขปาฐะจากอาจารย์สู่ศิษย์ [17]การทำนายด้วยการเสี่ยงทายนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทหวัตถุบนท้องฟ้าโดยตรง ทฤษฎีแรงส่งจากดวงดาวใช้อธิบายการเสี่ยงทายไม่ได้ แต่อธิบายด้วยทฤษฎีองค์รวมได้ กล่าวคือ ถ้าทุกส่วนในจักรวาลดำเนินไปด้วยกฎเกณฑ์เดียวกัน มีความสัมพันธ์เป็นระบบเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงที่ส่วนย่อยของระบบย่อมสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่วนใหญ่ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ส่วนหนึ่งย่อมมีผลกระทบในส่วนอื่น ๆ ของระบบด้วย ด้วยหลักเช่นนี้ย่อมไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ และไม่มีสิ่งใดที่ไม่สัมพันธ์กัน การเสี่ยงทายที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ย่อมต้องมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้การเสี่ยงทายบางครั้งก็ถูก แต่เราไม่สามารถรู้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งหมด มนุษย์ทำได้เพียงการเก็บสถิติ การเสี่ยงทายจึงไม่อาจจะถูกต้องทุกครั้งได้ส่วนวิชาโหราศาสตร์ที่ใช้ดวงดาวในการทำนาย มีการแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ ๗ สาขา [18] คือ


 ๑)      การดูดวงชะตาบุคคล (natal astrology) เป็นการใช้โหราศาสตร์ที่รู้จักกันมากที่สุด โดยคำนวณตำแหน่งของดวงดาวต่าง ๆ ตามวันเวลาเกิดของบุคคล ได้เป็นดวงชะตา นำมาวิเคราะห์ลักษณะและแนวโน้มชีวิตของบุคคล


๒) การดูดวงชะตาบ้านเมือง (mundane astrology) โดยใช้วันเวลาสำคัญของประเทศแทนวันกำเนิด เช่น วันกำเนิดของประเทศสหรัฐอเมริกาถือเอาวันที่ ๔ กรกฎาคม ค.ศ.๑๗๗๖ จากนั้นจึงคำนวณดวงชะตาของประเทศแล้วนำมาทำนายเหมือนดวงบุคคล โดยเปลี่ยนเป็นบริบทของประเทศ เช่น การดูแนวโน้มของสงคราม ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงสำคัญเป็นต้น


๓) โหราศาสตร์ธรรมชาติหรืออุตุนิยมโหราศาสตร์ (natural or meteorological astrology) เป็นการดูสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติด้วยตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้า เช่น การเกิดภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว พายุเป็นต้น


๔) โหราศาสตร์การเกษตร (agricultural astrology) เป็นการใช้ตำแหน่งดวงดาวเพื่อช่วยในการเกษตร เช่น การกำหนดวันเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเป็นต้น


๕) โหราศาสตร์การแพทย์ (medical astrology) เป็นการเชื่อมโยงดวงดาวและจักรราศีต่างๆ เข้ากับอวัยวะของร่างกาย แล้วใช้ความสัมพันธ์ของปัจจัยเหล่านี้วินิจฉัยโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย ตลอดจนนำมาช่วยในการทำจิตบำบัด



๖) โหราศาสตร์กาลชะตา(horary astrology) เป็นการตอบปัญหาโดยใช้ตำแหน่งดวงดาวในขณะที่มีผู้ถามปัญหา เช่น การถามว่าสมควรจะเปลี่ยนงานหรือไม่?”


๗) การเลือกวันเวลาที่เหมาะสมหรือการหาฤกษ์ การเลือกวันเวลาที่เหมาะสมหรือการหาฤกษ์๗) การเลือกวันเวลาที่เหมาะสมหรือการหาฤกษ์ (electional astrology) เป็นการกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ โดยใช้ตำแหน่งดวงดาว เช่น การหาวันเวลาที่เป็นมงคลสำหรับการเปิดกิจการการค้า การลงทุนในตลาดหุ้น เป็นต้น

------------------------------------------------------------------------------------
รายการอ้างอิง
[1] Stephen Arroyo, Astrology, Psychology and the Four Elements, (USA : CRCS Publications, 1975), p. 37.
[2] Ibid., p. 38.
[3] B.V. Raman, Planetary Influences on Human Affairs, (Bangalore : IBH Prakashana, 1980), pp. 56-57.
[4] โอฬาร เพียรธรรม, ตามหาความจริง วิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม ศาสตร์ที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ธรรมดา, ๒๕๔๙), หน้า ๒๐๕-๒๐๖.
[5] Ann Casement, Carl Gustav Jung, (UK : SAGE Publications, 2001), pp. 149-150.
[6] Ibid., p. 150.
[7] Weird Asia News, “Frog Migration : Omen to China Earthquake Disaster”, <http://www.weirdasianews.com/2008/05/13/frog-migration-omen-to-china-earthquake-disaster/>(27 May 2008).
[8] Rosemary Ellen Guiley, Encyclopedia of the Strange, Mystical, & Unexplained, (New York : Gramercy, 1991), pp. 413-414.
[9] Wikipedia, “Dream”, <http://en.wikipedia.org/wiki/Dream>(3 Jul 2008).
[10] Rosemary Ellen Guiley, Op.Cit., p. 158.
[11] Erich Fromm, The Forgotten Language : An Introduction to the Understanding of Dreams, Fairy Tales and Myths, (USA : Grove Press, 1951), p. 25.
[12] Paul R. Abramson, Personality, (USA : Holt, Rinehart and Winston, 1980), pp. 32-33.
[13] Ibid., p. 56.
[14] Anthony Philip Stone, Hindu Astrology : Myths, Symbols and Realities, (India : Select Books, 1981), pp. 147-148.
[15] Joseph Murphy, Secret of the I Ching, (USA : Parker Publishing Company, 1970), p. 18.
[16] Robert M. Place, The Tarot : History, Symbolism, and Divination, (USA : Tarcher/Penguin, 2005), pp. 5-6.
[17] Rosemary Ellen Guiley, Encyclopedia of the Strange, Mystical, & Unexplained, (New York : Gramercy, 1991), p. 306.
[18] Alan Oken, Alan Oken’s Complete Astrology, (USA : Ibis Press, 2006), pp. 15-16.



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS